การชักสิ่งตัวอย่างเพื่อการยอมรับ
เป็นวิธีการที่อาศัยหลักทางสถิติ
และความน่าจะเป็นในการเลือกสิ่งตัวอย่างจากสิ่งที่ต้องการตัดสินใจ
แล้วทดสอบหรือตรวจสอบเพื่อพิจารณาคุณภาพของประชากรนั้นว่าจะยอมรับ (accept) หรือปฏิเสธ (reject)
ตามเกณฑ์ที่กำหนด มาตรฐาน ANSI/ASQ Z1.4 – 2008 กำหนดให้มีการเลือกหน่วยผลิตภัณฑ์ที่จะทำการตรวจสอบแบบสุ่ม (random) จากลอตหรือแบช และจะเรียกหน่วยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับเลือกมาตรวจสอบนี้ว่า “สิ่งตัวอย่าง” (sample) และเรียกวิธีการเลือกหน่วยผลิตภัณฑ์จากลอตหรือแบชนี้ว่า “การชักสิ่งตัวอย่าง” (sampling) และจะเรียกจานวนหน่วยผลิตภัณฑ์ในสิ่งตัวอย่างว่า “ขนาดสิ่งตัวอย่าง” (sampling size) โดยในมาตรฐานนี้ได้กำหนดให้อยู่ในรูปของอักษรรหัส (code letter) 16 ตัวอักษร ตั้งแต่ A ถึง R (ยกเว้น I และ O) และ S (กรณีตรวจสอบแบบเคร่งครัด) มาตรฐาน ANSI/ASQ Z1.4 – 2008 ได้แบ่งแบบแผนการชักสิ่งตัวอย่างเอาไว้ 3 แบบ คือ 1) การชักสิ่งตัวอย่างเชิงเดี่ยว (single sampling plan) ในการพิจารณาเลือกแบบแผนการชักสิ่งตัวอย่างว่าจะเลือกแบบใดนั้น จะพิจารณาถึงขนาดสิ่งตัวอย่าง โดยเฉลี่ยของแต่ละแบบและความยากง่ายในการดำเนินการ โดยทั่วไปแล้วการชักสิ่งตัวอย่างเชิงเดี่ยวจะทำได้ง่ายกว่า ลงทุนต่ำ สะดวก และรวดเร็วมากกว่า โดยในที่นี้จะขออธิบายหลักการของการชักสิ่งตัวอย่างเชิงเดี่ยวเท่านั้น การวางแผนการชักสิ่งตัวอย่างเชิงเดี่ยวเพื่อการยอมรับ การชักสิ่งตัวอย่างเชิงเดี่ยว
(single
sampling plan)จะให้จำนวนผลิตภัณฑ์ที่จะทำการตรวจสอบเท่ากับขนาดของตัวอย่างที่ระบุไว้ในแบบการชักสิ่งตัวอย่าง ถ้าจำนวนผลิตภัณฑ์บกพร่องมีจำนวนไม่เกินค่าแห่งการยอมรับก็ให้ยอมรับ (accept) ผลิตภัณฑ์รุ่นนั้นได้ แต่ถ้าหากว่าจำนวนผลิตภัณฑ์บกพร่องเกินค่าตัวเลขแห่งการปฏิเสธ
ก็ให้ปฏิเสธ (reject)
ผลิตภัณฑ์รุ่นนั้น จากรูป
แสดงแผนภูมิการชักสิ่งตัวอย่างเชิงเดี่ยว
ขนาดของสิ่งตัวอย่าง (n) ที่นำมาตรวจสอบ หากพบจำนวนของเสีย
(d) ถึงค่าให้ปฏิเสธก็ปฏิเสธลอตนั้นทั้งหมดทันที แต่หากตัวอย่างที่ทำการตรวจสอบมีตัวเลขของเสียไม่ถึงค่าให้ปฏิเสธก็ให้ยอมรับลอตนั้นทันทีเช่นเดียวกัน จากรูป แสดงแผนภูมิการชักสิ่งตัวอย่างเชิงเดี่ยว ขนาดของสิ่งตัวอย่าง (n) ที่นำมาตรวจสอบ หากพบจำนวน ของเสีย (d) ถึงค่าให้ปฏิเสธ (Re) ก็ปฏิเสธล็อตนั้นทั้งหมดทันที แต่หากตัวอย่างที่ทำการตรวจสอบมีตัวเลขของเสียไม่ ถึงค่าให้ปฏิเสธ (Re) ก็ให้ยอมรับล็อตนั้นทันทีเช่นเดียวกัน ตัวอย่าง n=120 ชิ้น, Ac=2, Re=3 วิธีก็คือให้ทำการชักสิ่งตัวอย่างมา 120 ชิ้นและทำการตรวจสอบ ถ้าผลิตภัณฑ์บกพร่อง 1 หรือ 2 หรือไม่พบเลย ก็ให้ยอมรับลอต แต่ถ้าพบผลิตภัณฑ์บกพร่อง 3 ชิ้น หรือมากกว่า ก็ให้ปฏิเสธลอต ในการใช้แผนการชักสิ่งตัวอย่างผู้ใช้จะต้องกำหนดสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้ 1) ขนาดของลอต (N) 2) หารหัสอักษรซึ่งจะจำแนกระดับการตรวจสอบออกเป็น 2 ระดับ คือ ระดับการตรวจสอบทั่วไป(General/Normal Inspection Level) และระดับการตรวจสอบพิเศษ (Special Inspection Level) 3) การตรวจสอบจะแบ่งเป็น การตรวจสอบแบบปกติ (normal inspection) การตรวจสอบแบบเคร่งครัด (tightened inspection) และการตรวจสอบแบบผ่อนคลาย (reduced inspection) โดยที่จะใช้ตารางในการตรวจสอบต่างกัน 4) ระดับคุณภาพเพื่อการยอมรับ
AQL – Acceptable Quality Level การเปิดตาราง ANSI/ASQ Z1.4 – 2008 มีหลักการดังนี้
จากตารางจะแบ่งกลุ่มขนาดของลอตออกเป็นหมวดๆ และจำแนกระดับการตรวจสอบออกเป็น 2 ระดับ คือ (1) ระดับการตรวจสอบทั่วไป (I, II, III ) และ (2) ระดับการตรวจสอบพิเศษ (S1-4) โดยที่การตรวจสอบพิเศษจะเป็นการตรวจสอบที่ไม่เข้มงวดเท่ากับการตรวจสอบแบบทั่วไป หรือแน่ใจว่ากระบวนการผลิตสามารถควบคุมได้ดี การหาขนาดตัวอย่างก็จะใช้การตรวจสอบระดับพิเศษ เพราะขนาดตัวอย่างที่ได้จากการตรวจสอบระดับพิเศษ จะเป็นขนาดตัวอย่างที่น้อยกว่าการตรวจสอบระดับทั่วไป การตรวจสอบทั่วไป แบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ Level
I,
II, III โดยทั่วไปการตรวจสอบ ถ้าไม่กำหนดให้เป็นอย่างอื่นก็จะใช้การตรวจสอบระดับ
II แต่ถ้าความแตกต่างของคุณภาพในลอตมีน้อย
จะใช้การตรวจสอบระดับ I และถ้าความแตกต่างภายในลอตมีมากการตรวจสอบจะใช้ระดับ III การหาขนาดตัวอย่างจากรหัสอักษรที่กำหนดระดับ AQL ขนาดต่างๆ หลังจากการเลือกรหัสในตารางแล้ว ให้นำรหัสที่เลือกได้ไปหาขนาดตัวอย่างที่ใช้ในตารางแผนการเลือกตัวอย่าง Table II โดยในตารางต่างๆจะมีสัญลักษณ์ประกอบการพิจารณาดังนี้
ในการที่จะเลือกและกำหนดระดับ AQL ที่เหมาะสมนั้นผู้ใช้จำเป็นต้องรู้และเข้าใจใน
Operating
Characteristic Curve เสียก่อน
ก็จะรู้ว่าควรจะเลือกแผนการชักตัวอย่างแบบใด ที่ AQL
เท่าไร มันมีความเสี่ยงแค่ไหน ซึ่งรายละเอียดนั้นจะกล่าวแต่พอสังเขปในบทต่อไป
หมายเหตุ ความเป็นมาของการวางแผนการชักสิ่งตัวอย่างนั้นเริ่มมาจากทางทหารก่อน
ในปี 1950 กระทรวงกลาโหมของอเมริกาออกมาตรฐานที่ชื่อว่า (Military
Standard: MIL) MIL.STD.
105A และต่อๆมาก็ได้
ปรับปรุงแก้ไขมาเรื่อยๆเป็น 105B,
195C และ105D โดย
MIL.STD.105D
ออกมาในปี 1963 และถูกแปลงไปเป็น
ANSI
Standard Z1.4 โดยสถาบัน
มาตรฐานของอเมริกาในปี 1971 (ANSI
= American National Standard
Institute)
ในที่สุดสถาบัน ISO ก็เอาไปทำเป็น
มาตรฐานของ ISO
2859 ในปี 1974 ในขณะเดียวกันมาตรฐาน MIL. STD. ก็ยังพัฒนาต่อไปอีก
เป็น MIL.
STD 105E ในปี 1989 และออกมาเป็น
มาตรฐานของไทยคือ มอก. 465
|
เทคนิคการทำงานในโรงงาน > 3. การควบคุมคุณภาพ >